หมอแอมป์ชี้ “โรคอ้วน” วิกฤตสุขภาพทั่วโลก คนกรุงเทพฯ ครองแชมป์อ้วนอันดับ 1

หมอแอมป์ชี้ “โรคอ้วน” วิกฤตสุขภาพทั่วโลก

เผยประเทศไทย คนกรุงเทพฯ ครองแชมป์อ้วนอันดับ 1

แนะ 3 แนวทางการแก้ไข เริ่มต้นด้วยหลัก Lifestyle Medicine

 

  โรคอ้วน (Obesity) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเรื่องรูปร่างที่ส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคเครียด รวมถึงมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ โรคอ้วนยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิต กระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในแง่ของค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น และประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง

 ในยุคที่เต็มไปด้วยอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก ผู้คนเคลื่อนไหวร่างกายลดลง โรคอ้วนจึงกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอ้วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างเหมาะสม

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมแพทย์ฟื้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) จะพาทุกท่านเจาะลึกถึงประเด็นสาเหตุของโรคอ้วนในหลากหลายมิติ ต้อนรับ “วันอ้วนโลก (World Obesity Day)” ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เพื่อให้ทุกคนเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงระบบ และสร้างสังคมสุขภาพดีอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

 

โรคอ้วนกำลังขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง

วิกฤตการณ์โรคอ้วน (Obesity crisis) กำลังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขระดับโลกที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ตัวอย่างการศึกษาตีพิมพ์บนวารสาร The Lancets เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 2022 นั้นมีผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากโรคอ้วน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากเมื่อ 35 ปีก่อนถึงสองเท่าในผู้ใหญ่ และในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่มีอายุ 5-19 ปี เพิ่มสูงขึ้นถึงสี่เท่า และข้อมูลในปี ค.ศ. 2022 นั้นยังเปิดเผยว่า 43% ของประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลกเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินด้วย นอกจากนี้ ข้อมูลจาก World Obesity Atlas 2024 ยังคาดการณ์ไว้อีกว่า ในปี ค.ศ. 2035 หรืออีกปีสิบปีข้างหน้า โลกของเราจะต้องมีคนที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์และอ้วนสูงเป็น 54% หรือราว 3.3 พันล้านคนเลยทีเดียว

 

สำหรับประเทศไทย รายงานจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ในการติดตามเฝ้าระวังภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนนั้น ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา ประชากรไทยมีปัญหาน้ำหนักเกินและอ้วนมากถึง 48.35% โดยเขตกรุงเทพมหานครมีความชุกมากที่สุด คิดเป็น 56.4% รองลงมาคือ ภาคเหนือ (51.8%) ภาคใต้ (50.8%) ภาคกลาง (46.9%) และภาคอีสาน (46.6%)

 

อีกกลุ่มประชากรที่เราไม่ควรละเลยนั้นคือ กลุ่มวัยเด็ก โดยรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2567 เด็กไทยอายุต่ำกว่า 5 ปี มีความชุกของภาวะอ้วนอยู่ที่ 9.24% ในเด็กอายุระหว่าง 6-14 ปี มีความชุกของภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนอยู่ที่ 13.12% ในขณะที่เด็กที่มีอายุ 15-18 ปี มีความชุกมากถึง 15.76% โดยประชากรวัยเด็กที่อาศัยอยู่ในเขตสุขภาพที่ 4 ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี และนครนายก เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความชุกของภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนมากที่สุด ซึ่งมีร้อยละดังกล่าวเพิ่มยังสูงขึ้นจากเมื่อปี พ.ศ. 2566 อีกด้วย

ดังนั้น เราควรให้ความสำคัญกับประชากรวัยเด็กและวัยรุ่นมากขึ้น เพราะภาวะสุขภาพในวัยเด็กส่งผลต่อภาวะสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ตัวอย่างการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Nutrition ในปี พ.ศ. 2566 คาดว่า เด็กและวัยรุ่นที่มีภาวะอ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกันกับเด็กที่ไม่อ้วน โดยเด็กที่มีภาวะอ้วนตั้งแต่ในวัยเรียนนั้น 55% จะพัฒนาไปเป็นวัยรุ่นที่อ้วน และวัยรุ่นที่อ้วนมีโอกาสที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนถึง 80% และมีโอกาสถึง 70% ที่จะเป็นโรคอ้วนตั้งแต่อายุ 30 ปี อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และขาโก่งมากยิ่งขึ้นในอนาคต

 

โรคอ้วน เป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ซึ่งเดิมทีโรคอ้วนถูกพิจารณาจากค่า ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) แต่แท้จริงแล้ว BMI อาจไม่ใช่เครื่องมือที่แม่นยำในการประเมินภาวะอ้วนมากนัก เพราะไม่สามารถประเมินองค์ประกอบของร่างกายได้ เช่น บุคคลที่มี BMI เท่ากัน อาจมีสัดส่วนกล้ามเนื้อและไขมันไม่เท่ากัน เช่น นักเพาะกายมีกล้ามเนื้อมากกว่าคนที่ขาดการออกกำลังกาย จึงไม่แนะนำให้ใช้ BMI ในการวินิจฉัยเพียงอย่างเดียว ควรใช้เครื่องมืออื่นประกอบอย่างการวัดเส้นรอบเอว และหากต้องการเห็นภาพและตัวเลขที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การวัดองค์ประกอบร่างกายด้วยเครื่อง DEXA (Dual-Energy X-ray Absorptiometry) จะช่วยให้การประเมินโรคอ้วนนั้นดียิ่งขึ้น โดยในกลุ่มวัยกลางคน (อายุ 20–50 ปี) ผู้หญิงไม่ควรมีสัดส่วนไขมันเกิน 32% และผู้ชายไม่ควรเกิน 25%

 

สาเหตุหลักมาจากการได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายสามารถเผาผลาญได้ ร่างกายของเราจึงสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมันตามส่วนต่าง ๆ

“นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน พันธุกรรม รวมไปถึงกระบวนการเหนือพันธุกรรม หรือ Epigenetics ซึ่งส่งผลต่อการเผาผลาญและการสะสมไขมันในร่างกาย ที่สำคัญเมื่อเกิดโรคอ้วนไขมันที่สะสมอยู่จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ ทำให้โรคอ้วนรุนแรงขึ้น และเกิดเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จบ” นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติม

เข้าใจร่างกายผ่านกลไกการรับประทานอาหาร/รักษาน้ำหนักตัว

 พฤติกรรมการรับประทานอาหารและรักษาน้ำหนักตัวนั้น เกิดจากการทำงานร่วมกันของ 3 กลไกด้วยกัน ดังนี้

กลไกที่หนึ่ง: การควบคุมสมดุลความอยากอาหารของร่างกาย (Homeostatic feedback)

กลไกนี้เกิดขึ้นจากการหลั่งฮอร์โมนในระบบทางเดินอาหาร และส่งสัญญาณไปที่ก้านสมอง (Brainstem) และสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) โดยฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในกลไกนี้ ได้แก่

  • เลปติน (Leptin) – ฮอร์โมนแห่งความอิ่ม

เลปตินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความอิ่มและรักษาสมดุลพลังงานของร่างกาย โดยกระตุ้นผ่านเซลล์ประสาท Pro-opiomelanocortin (POMC) และ Cocaine-amphetamine regulated transcript (CART) หรือกลุ่มเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความรู้สึกอิ่ม

เลปตินถูกผลิตและหลั่งจากเซลล์ไขมันในเนื้อเยื่อไขมันสีขาว (White Adipose Tissue, WAT) ซึ่งระดับของเลปตินในร่างกายจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณเซลล์ไขมันที่สะสมอยู่ ยิ่งมีไขมันสะสมมาก ร่างกายจะยิ่งหลั่งเลปตินออกมามากขึ้น ซึ่งในคนที่เป็นโรคอ้วน ร่างกายจะดื้อต่อเลปติน (Leptin Resistance) แม้จะมีระดับเลปตินสูงมาก (Hyperleptinemia) แต่ก็ไม่สามารถทำให้ความอยากอาหารลดลง นี่คือเหตุผลที่บางคนรับประทานอาหารมากเกินไป แม้ว่าร่างกายจะได้รับพลังงานเพียงพอแล้ว

  • ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) – ฮอร์โมนแห่งความหิว

เกรลินเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการควบคุมความหิว กระตุ้นผ่านเซลล์ประสาท Agouti-related peptide (AgRP) และ Neuropeptide Y (NPY) และยังยั้งการทำงานของ POMC ช่วยให้เราหิวมากขึ้น และยังมีผลต่อระบบรางวัลของสมอง การรับรู้และตัดสินใจรับประทานอาหารด้วย

เกรลินถูกหลั่งจากต่อมออกซินติกในกระเพาะอาหาร โดยจะหลั่งมากก่อนอาหารและเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เกรลินก็จะหยุดหลั่ง แต่ในคนที่เป็นโรคอ้วน ระดับของฮอร์โมนนี้กลับไม่ลดลง ทำให้ยังรู้สึกอยากรับประทานอาหารต่อ ซึ่งอาหารที่ทำให้เกรลินทำงานผิดปกติ ได้แก่ น้ำอัดลม หรืออาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล High Fructose Cron Syrup (HFCS) จนก่อให้เกิดภาวะโรคอ้วน

นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนชนิดอื่นที่หลั่งเพื่อช่วยในการควบคุมน้ำหนัก และรักษาโรคอ้วน ได้แก่

  • ฮอร์โมนโคลซีสโตไคนิน (Cholecystokinin, CCK) – ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความอิ่ม

CCK เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวกลาง’ เชื่อมโยงระหว่างสมองและลำไส้ ช่วยให้ร่างกายสามารถปรับสมดุลพลังงานได้อย่างเหมาะสม เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมัน CCK จะส่งสัญญาณไปยังระบบทางเดินอาหารเพื่อให้หลั่งน้ำย่อยและเอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหาร พร้อมกับส่งสัญญาณไปยังสมองว่าร่างกายได้รับอาหารเพียงพอแล้ว และเกิดความรู้สึกอิ่ม

  • ฮอร์โมน Peptide Y (PYY) – ฮอร์โมนที่ช่วยลดความอยากอาหาร

PYY เป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ ทำงานได้ดีเมื่อรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันสายสั้นอย่างในผัก ผลไม้ ถั่วและธัญพืช ทั้งยังทำงานร่วมกับ GLP-1 ในควบคุมระดับน้ำตาลและทำให้อาหารเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้เล็กช้าลง ช่วยให้อิ่มนานขึ้น ยิ่งมี PYY และ GLP-1 ทำงานร่วมกันมากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น และรับประทานอาหารได้น้อยลง

  • ฮอร์โมน Glucagon-like Peptide-1 (GLP-1) – ฮอร์โมนช่วยควบคุมน้ำตาลและความอิ่ม

GLP-1 เป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะถูกกระตุ้นเมื่อมีอาหารเข้ามายังลำไส้เล็ก เพื่อเริ่มกระบวนการเผาผลาญ และกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนกลูคากอน มีผลให้อาหารเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารไปยังลำไส้เล็กช้าลง จนเกิดความอิ่ม

เห็นได้ว่า กลไกควบคุมสมดุลความอยากอาหารและสมดุลพลังงานของร่างกาย เกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างทางเดินอาหารและสมองส่วนไฮโปทาลามัสเพื่อให้อิ่มหรือหิว แต่ในคนที่เป็นโรคอ้วนนั้น ฮอร์โมนความอิ่มและฮอร์โมนความหิวจะทำงานไม่สัมพันธ์กัน ทำให้มีความอยากอาหารมากกว่าปกติ ส่งผลให้รับประทานในปริมาณมาก (Overeating) และได้รับพลังงานเกินความต้องการของร่างกายสะสมไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นโรคอ้วนนั่นเอง

กลไกที่สอง: การควบคุมการรับประทานเพื่อความสุข (Hedonic feedback)

นอกจากกลไกควบคุมความอยากอาหารจากฮอร์โมนต่าง ๆ แล้ว ร่างกายยังมีระบบที่ทำให้เรารับประทานเพื่อความพึงพอใจ ซึ่งควบคุมโดยระบบเมโสลิมบิก (Mesolimbic System) หรือ ระบบรางวัลของสมอง ระบบนี้ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus), อะมิกดาลา (Amygdala), สมองกลีบหน้าผากส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) และสมองส่วนกลาง (Midbrain)

โดยสมองตอบสนองต่อคุณสมบัติของอาหาร เช่น รูป รสชาติ และกลิ่น กระตุ้นผ่านสารสื่อประสาท ได้แก่          โดปามีน (Dopamine) ที่กระตุ้นแรงจูงใจในการรับประทาน, เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ควบคุมอารมณ์และความอยากอาหาร, และเอ็นโดแคนนาบินอยด์ (Endocannabinoid) กับโอปิออยด์ (Opioid) ที่เพิ่มความชอบในการรับประทาน แต่ในคนที่เป็นโรคอ้วน เมื่อสารสื่อประสาทเหล่านี้ทำงานพร้อมกันกับฮอร์โมนที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยิ่งทำให้พวกเขารับประทานอาหารต่อไปได้อีก แม้จะรู้สึกอิ่มแล้วก็ตาม

กลไกที่สาม: กลไกการตอบสนองทางปัญญา (Cognitive feedback)

บางครั้งมีปัจจัยบางประการเข้ามาส่งเสริมให้เรามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดี จนเป็นโรคอ้วน ได้แก่

การควบคุมตนเอง (Self-regulation) คือความสามารถในการจัดการพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเรา ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ในส่วนที่รู้ตัว เราอาจพยายามปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก เช่น การจำกัดปริมาณอาหารหรือเลือกอาหารที่มีพลังงานต่ำ ส่วนที่ไม่รู้ตัวนั้น จะมาจากความเครียดหรืออารมณ์

การตอบสนองต่อสังคม (Social feedback) พฤติกรรมการรับประทานและการออกกำลังกายของเรามักได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง สื่อ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอื่น ๆ เครือข่ายสังคมสามารถเป็นทั้งแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก หรือเป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุงพฤติกรรม ขึ้นอยู่กับบรรทัดฐานทางสังคมที่เรารับรู้

สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดโรคอ้วน (Obesogenic environment) ได้แก่ วิถีชีวิตที่เนือยนิ่งและกิจกรรมทางกายลดลง มีความเครียดที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงอาหารที่มีพลังงานสูง เป็นต้น

การควบคุมการรับประทานอาหารในผู้ที่มีภาวะอ้วนเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของสามกลไกหลัก ได้แก่ กลไกสมดุลความอยากอาหารของร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ตามมาด้วย กลไกการรับประทานเพื่อความสุข และกลไกการตอบสนองทางปัญญา ความไม่สมดุลของกลไกเหล่านี้ทำให้ร่างกายควบคุมความหิวได้ไม่ดี มีแนวโน้มเลือกรับประทานอาหารเพื่อตอบสนองความพึงพอใจมากขึ้น และลดความสามารถในการควบคุมตนเอง ส่งผลให้รับประทานอาหารมากเกินความจำเป็น จนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และนำไปสู่ภาวะโรคอ้วนในที่สุด

 

พันธุกรรมและกระบวนการเหนือพันธุกรรม: ปัจจัยแฝงที่อาจทำให้อ้วน

จากที่กล่าวในตอนต้น นอกเหนือจากปัจจัยสมดุลพลังงาน สมดุลทางฮอร์โมน ปัจจัยทางสังคม และปัจจัยสภาพแวดล้อมแล้ว ปัจจัยทางพันธุกรรมก็อาจมีเป็นสาเหตุหนึ่งของการพัฒนาไปเป็นโรคอ้วนได้เช่นกันหลายท่านอาจสังเกตได้ว่า หากสมาชิกในครอบครัวมีภาวะอ้วน ลูกหลานก็มักมีภาวะอ้วนด้วยเช่นกัน โดยรหัสพันธุกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น

  • MC4R (Melanocortin-4 receptor)
  • POMC (Proopiomelanocortin)
  • FTO (Fat Mass and Obesity-Associated Gene)
  • LEPR (Leptin receptor)
  • LEP (Leptin) และ
  • ADIPOQ (Adipocyte-, C1q-, and collagen domain-containing) เป็นต้น

นอกจากยีนหรือรหัสพันธุกรรมแล้ว กระบวนการเหนือพันธุกรรม (Epigenetics) หรือศาสตร์ว่าด้วยควบคุมการแสดงออกของยีน ที่ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงลำดับยีน แต่ได้รับการกระตุ้นจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตของตัวเราเอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคอ้วนในหลายแง่มุม ยกตัวอย่างเช่น

  • การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง – ลดการทำงานของ PPARγ หรือยีนที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของไมโทคอนเดรียในเซลล์ ส่งผลต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย
  • การออกกำลังกาย – เพิ่มการแสดงออกของยีน PGC1α ในการควบคุมระบบการเผาผลาญพลังงาน และการสร้างไมโทคอนเดรีย
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ – ลดการทำงานของยีน Cry1 และ BMAL1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในเลือดที่เพิ่มขึ้น ความอยากอาหาร เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และยังส่งผลต่อยีน SCD1 ที่มีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างและสลายไขมันในร่างกาย

อย่างไรก็ดี คุณหมอแอมป์ยังคงเน้นย้ำว่า กุญแจสำคัญของเรื่องนี้เป็นเรื่องของพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle) เช่น การรับประทานอาหารที่มีขนาดใหญ่และปริมาณมาก รวมไปถึงประเภทและลักษณะของอาหารเราเลือกรับประทาน เช่น กลุ่มอาหารที่ให้พลังงานสูง น้ำตาลสูง และไขมันสูง กลุ่มอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป เป็นต้น ส่วนปัจจัยด้านรหัสพันธุกรรม หากเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็จะ สามารถยับยั้งหรือเพิ่มการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนผ่านทางกระบวนการเหนือพันธุกรรมได้ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ จะช่วยให้เข้าใจในพิมพ์เขียวสุขภาพของตัวเอง และส่งเสริมให้ดูแลสุขภาพของเรานั้นตรงจุดยิ่งขึ้น

แก้ไขระบบตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก 

แก้ไขระบบแรก: ระบบกลไกร่างกายให้กลับมาสมดุล

 ปัจจุบันแนวทางการจัดการโรคอ้วนนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle modification) ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เพราะสามารถเริ่มได้ทันที และยั่งยืนมากที่สุด เพื่อให้ทุกท่านสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้น คุณหมอแอมป์ได้แนะนำ 7 แนวทางการดูแลสุขภาพง่าย ๆ ดังนี้

  • เลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ โดยใน 1 จาน ให้เลือกรับประทานผัก 50% อีก 25% เป็นโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา เต้าหู้ ถั่ว และธัญพืช และ 25% สุดท้ายเป็นข้าวแป้งไม่ขัดสี อย่างเช่น ข้าวกล้อง เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือบริโภคแต่น้อย โดยเฉพาะไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ เครื่องใน ขนมเค้ก อาหารฟาสต์ฟู้ด ชานมไข่มุก เนื้อสัตว์แปรรูป (Processed meat) อย่างเบคอน ไส้กรอก แฮม แหนม กุนเชียง ไส้อั่ว หมูแผ่น หมูยอ ลูกชิ้น เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ High Fructose Corn Syrup (HFCS) เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำเชื่อม น้ำผลไม้ แยม ลูกกวาด คุกกี้ ไอศกรีม เค้ก พาย เป็นต้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงทุกวันและควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนได้อย่างเป็นปกติ
  • หลีกเลี่ยงสารอันตราย ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยอย่างฝุ่นพิษ 5
  • ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือทำกิจกรรมที่ทำให้สมองสงบ ได้พักผ่อน

แก้ไขระบบที่สอง: การสนับสนุนจากสังคม

การสนับสนุนทางสังคมที่ดีมีความสัมพันธ์กับการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน ทั้งจากสมาชิกในครอบครัว การที่มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชน โรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน มีการกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอบรมให้ความรู้ หรือมีชมรมที่ให้ทุกคนตระหนักในสุขภาพ สิ่งสำคัญคือ การมีระบบสนับสนุนที่ดี ซึ่งช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดี และสร้างสมดุลระหว่างสังคม สภาพแวดล้อม และชีวิตส่วนตัว

แก้ไขระบบที่สาม: การสนับสนุนจากหน่วยงานในเชิงนโยบาย

การปรับปรุงปัญหาเชิงโครงสร้างและกระบวนการทางสังคมที่มีผลต่อสถาบัน กฎหมาย เศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรม เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์โรคอ้วนได้ เช่น การเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ภาษีอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ภาษีไขมัน เป็นต้น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และการประชาสัมพันธ์ความรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกคนในสังคม

การปรับปรุงแก้ไขปัญหาตั้งแต่เรื่องใกล้ตัวอย่างพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ไปจนถึงการแก้ปัญหาเชิงระบบโครงสร้างและนโยบาย เปรียบเสมือนการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จะช่วยลดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดโรคอ้วน ช่วยส่งเสริมความตระหนักรู้ของแต่ละคนในทางอ้อมได้ และจะช่วยผลักดันให้เกิดวิถีชีวิตแบบใหม่ ทุกคนสนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพที่ดี มีคุณภาพ และยั่งยืนในที่สุด

เนื่องในโอกาสวันอ้วนโลกประจำปีนี้ ภายใต้แนวคิด ‘Changing Systems Healthier Lives’ มุ่งเน้นให้เราทุกคนเกิดความตระหนักในการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนอย่างจริงจัง เปลี่ยนแปลงระบบ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ และพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน

เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ของคนใดคนหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม รวมไปถึงหน่วยงานทุกส่วนตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ไปจนถึงเป็นพันธกิจในระดับนานาชาติมาร่วมมือกัน มาเริ่มต้นปรับปรุงระบบ เพื่อระงับ และป้องกันวิกฤตการณ์โรคอ้วนนี้ ในการสร้างอนาคตแห่งสุขภาพดีและยั่งยืนสำหรับลูกหลานของเราไปด้วยกันนายแพทย์ตนุพล กล่าวทิ้งท้าย

  #BDMSWellnessClinic #สุขภาพที่ดีเริ่มที่การป้องกัน #LiveLongerHealthierHappier #PreventiveMedicine #LifestyleMedicine #ScientificWellness

FB: Facebook.com/BDMSWellnessClinic

IG @BDMSWellness

 

admin

Back to top
error: Content is protected !!